แชร์

การผ่าตัดลดน้ำหนักคืออะไร มีกี่แบบ อะไรบ้าง

อัพเดทล่าสุด: 25 เม.ย. 2024
1392 ผู้เข้าชม

        การผ่าตัดลดน้ำหนักคือการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารให้เล็กลง ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง อาจทำร่วมกับเปลี่ยนทางเดินของอาหารให้ผ่านกระเพาะอาหารน้อยที่สุด ทำให้ดูดซึมสารอาหารได้ลดลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลง นอกจากนี้แล้วยังตัดกระเพาะส่วนยอดที่สร้างฮอร์โมนหิวออกไปด้วย ทำให้มีอาการหิวน้อยลงหลังผ่าตัด

เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 32.5 ขึ้นไป ร่วมกับมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ปวดหัวเข่า ข้อเสื่อม หยุดหายใจขณะนอนหลับ นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำรังไข่หลายใบโดยมีอาการประจำเดือนมาไม่ปกติและขนดก เป็นต้น
  • ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 37.5 ขึ้นไปโดยที่ไม่มีโรคประจำตัว
  • เคยพยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีการออกกำลังกายหรือคุมอาหารแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

        การผ่าตัดลดน้ำหนักเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนและถาวร เมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ อย่างไรก็ตามหัวใจสำคัญไม่แพ้การผ่าตัดอการปฏิบัติตนหลังผ่าตัด

        ปัจจุบันการผ่าตัดลดน้ำหนักมีหลายแบบ แบบที่นิยมเป็นที่พูดถึงกันมี 6 แบบ ดังนี้

1. การผ่าตัดแบบสลีฟ

  • เป็นการผ่าตัดกระเพาะอาหารส่วนนอกออกไปประมาณ 80% ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง นอกจากนี้แล้วยังตัดกระเพาะอาหารส่วนยอด (Fundus) ที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนหิวที่ชื่อกรีลิน (Ghrelin) ออกไปด้วย ทำให้หลังผ่าตัดจะรับประทานอาหารได้น้อยลง และมีอาการหิวน้อยลงเมื่อเทียบกับก่อนผ่าตัด
  • สามารถลดน้ำหนักส่วนที่เกินมาได้ประมาณ 60% ใน 1 ปี
  • สามารถลดโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันในเลือดสูง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ มีถุงน้ำรังไข่หลายใบทำให้มีภาวะขนดกและประจำเดือนมาผิดปกติ เป็นต้น
  • การผ่าตัดวิธีนี้หากในอนาคตมีปัญหาที่กระเพาะอาหารจะสามารถส่องกล้องเข้าไปดูกระเพาะอาหารที่เหลืออยู่ได้
  • ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน
  • มีข้อห้ามคือในผู้ป่วยที่มีกรดไหลย้อนรุนแรงจะไม่แนะนำให้ผ่าตัดวิธีนี้

2. การผ่าตัดแบบบายพาส

  •  เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนทางเดินของอาหาร โดยตัดแบ่งกระเพาะอาหารออก 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นกระเปาะเล็กๆ ประมาณ 30 ซีซี หรือประมาณครึ่งขวดยาคูลท์ และที่เหลือกระเปาะใหญ่ จากนั้นจะยกลำไส้เล็กส่วนกลางให้ขึ้นมาต่อกับกระเพาะอาหารกระเปาะเล็กๆ
  • ทำให้เวลารับประทานอาหาร อาหารจะผ่านเข้ากระเพาะอาหารกระเปาะเล็กแล้วไปยังลำไส้เล็กส่วนกลางทันที
  • ส่วนกระเพาะอาหารกระเปาะใหญ่จะถูกทิ้งไว้ในท้องเฉยๆ ไม่สามารถเข้าไปส่องกล้องดูภายในได้ในอนาคต
  • หลังผ่าตัด ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง เนื่องจากกระเพาะอาหารเหลือขนาดเล็กลงมาก และร่างกายดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง ทำให้น้ำหนักลดลงได้
  • สามารถลดน้ำหนักส่วนที่เกินมาได้ประมาณ 60 - 70% ใน 1 ปี และสามารถลดโรคต่างๆ ได้เช่นเดียวกับการผ่าตัดแบบสลีฟ แต่จะสามารถลดโรคเบาหวานแบบรุนแรงได้
  • ใช้เวลาในการผ่าตัดนานกว่าแบบสลีฟ
  • วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานแบบรุนแรง หรือมีกรดไหลย้อนแบบรุนแรง
  • ในอนาคตหากมีปัญหา ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบบายพาสจะเปลี่ยนไปผ่าตัดวิธีอื่นได้ยาก

3. การใส่ห่วงรัดกระเพาะอาหาร

  • เป็นการใส่ห่วงเพื่อรัดกระเพาะอาหารให้เล็กลง
  • ปัจจุบันไม่นิยมทำแล้ว เนื่องจากลดน้ำหนักได้ผลน้อย และมีผลข้างเคียงเยอะ เช่น ห่วงเคลื่อนที่ ห่วงแตก อาเจียนมาก เป็นต้น

4. การใส่บอลลูน

  • ไม่ได้เป็นการผ่าตัด
  • เป็นการใส่บอลลูนเข้าไปทางปาก ผ่านหลอดอาหาร เข้าไปในกระเพาะอาหาร แล้วให้บอลลูนไปขยายตัวกินพื้นที่ในกระเพาะอาหาร
  • ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลงเนื่องจากแน่นท้อง และน้ำหนักลดลงได้
  • ระยะเวลาในการใส่บอลลูนสามารถใส่ได้นานถึง 1 ปี
  • หากนำบอลลูนออกแล้วกลับไปรับประทานอาหารเยอะเหมือนเดิม น้ำหนักสามารถขึ้นมาได้อีก

        อย่างไรก็ตาม หากท่านดัชนีมวลกายเข้าเกณฑ์ในการผ่าตัดลดน้ำหนัก และลดโรคต่างๆ แล้ว หมอขอแนะนำให้ท่านปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดค่ะ

5. การผ่าตัดแบบสลีฟพลัส

  • การผ่าตัดแบบลูกผสมระหว่างการผ่าตัดแบบสลีฟและบายพาส
  • เริ่มต้นจะทำการผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบสลีฟก่อน เสร็จแล้วจะทำการบายพาสเฉพาะลำไส้เล็ก ไม่ให้อาหารที่รับประทานเข้าไปผ่านลำไส้เล็กส่วนต้นทำให้ไม่มีการดูดซึมสารอาหารบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น
  • หลังผ่าตัด ทำให้รับประทานได้น้อยลงจากการผ่าแบบสลีฟและมีการดูดซึมสารอาหารจากลำไส้เล็กลดลงจากการบายพาสเฉพาะลำไส้เล็ก ทำให้น้ำหนักลดลงได้
  • เป็นการลดปัญหาการขาดสารอาหารระยะยาวที่มักเจอในการผ่าตัดแบบบายพาส และลดปัญหาการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่มักเจอในการผ่าตัดแบบบายพาส
  • ปัจจุบันมีรายงานผลการผ่าตัดว่าสามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ประมาณ 60-75 % ใน 1 ปีและลดโรคเบาหวานที่รุนแรงได้
  • ปัจจุบันมีรายงานผลการผ่าตัดว่าสามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ประมาณ 60-75 % ใน 1 ปีและลดโรคเบาหวานที่รุนแรงได้

6. การส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหาร (Endostitch)

  • เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย แต่ประเทศอื่นๆ มีมานานแล้ว
  • ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีรอยแผลเป็นที่หน้าท้อง
  • เป็นการส่องกล้องเข้าไปทางปากเพื่อเย็บกระเพาะอาหารให้กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลง ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง โดยไม่ได้มีการตัดเนื้อกระเพาะส่วนใดออก เป็นการเย็บเฉยๆ
  • กระเพาะอาหารส่วนยอดที่สร้างฮอร์โมนหิวก็ยังอยู่เหมือนเดิม และกระเพาะอาหารทั้งหมดยังอยู่ในกระเพาะเหมือนเดิม
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ค่าดัชนีมวลกายก้ำกึ่งว่าจะผ่าตัดดีหรือไม่ อาจจะเย็บกระเพาะไปก่อน หากน้ำหนักลดก็ดี หรือถ้าไม่ลดก็ค่อยมาผ่าตัด
  • ส่วนตัวหมอเคยผ่าตัดคนไข้ที่เคยส่องกล้องเย็บกระเพาะมาแล้ว 2 ปีจากต่างประเทศ แล้วน้ำหนักกลับมาขึ้นใหม่ สุดท้ายก็เลยมาผ่าตัดกระเพาะ ซึ่งปัจจุบันน้ำหนักลงได้ดีกว่ามาก

บทความที่เกี่ยวข้อง
5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน
วันนี้หมอจะมาเล่าให้ฟังเรื่องการผ่าตัดกระเพาะที่หมอมักจะได้ยินจากคนไข้หรือคนทั่วไปเกี่ยวกับการผ่าตัดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วนค่ะ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy